
ความสำคัญขององค์การประกันคุณภาพการศึกษาภายนอก
องค์การประกันคุณภาพการศึกษาภายนอกมีไว้เพื่อทำหน้าที่พัฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก
และทำการประเมินการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมายและหลักการ
และแนวการจัดการศึกษาในแต่ละระดับ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติ (มาตรา 49) เพราะว่าในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพนั้น
จำเป็นต้องใช้หลักการบริหารจัดการ ที่ต้องมีการดำเนินงานให้เป็นระบบครบวงจร โดยมีขั้นตอนสำคัญคือ การประเมินผลเพื่อให้ได้ข้อมูลย้อนกลับ
อันจะสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่ผ่านมาว่าบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้เพียงใด มีจุดอ่อน หรือปัญหาเรื่องใดบ้างที่ต้องปรับปรุงแก้ไข
เพื่อให้การวางแผนและดำเนินงานระยะต่อไปบรรลุเป้าหมายอย่างมีคุณภาพและประสิทธิผล
องค์การที่เกี่ยวข้องกับการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอก
มีองค์การที่สำคัญที่เกี่ยวข้อง คือ
1. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน)
เป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานทางการศึกษาของการศึกษาทุกระดับ และทำหน้าที่ให้การรับรองผลการประเมินผล
2. กระทรวงศึกษาธิการ มี อำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมและกำกับดูแลการศึกษาทุกระดับ และทุกประเภท
กำหนดนโยบาย และมาตรฐานการศึกษา สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา
ส่งเสริมการประสานงานศาสนา ศิลปะ และการกีฬาเพื่อการศึกษา ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาและราชการอื่นตามที่กฎหมายกำหนด
3. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ..)
เป็นหน่วยงานส่วนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ
มีหน้าที่กำกับดูแลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน พิจารณา
เสนอนโยบาย แผนพัฒนา มาตรฐาน แลหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกระดับที่สอดคล้องกับความต้องการตามแผน
พัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ และแผนการศึกษาแห่งชาติ
การส่งเสริมและประสานงานการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐและเอกชน การสนับสนุนทรัพยากร
การติดตามตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษา
โดยคำนึงถึงคุณภาพความเป็นเลิศทางการศึกษา
ทำไมต้องมีสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
ในการจัดการศึกษา ให้มีคุณภาพนั้น
จำเป็นต้องใช้หลักการบริหารจัดการ เช่นเดียว กับการบริหารหรือดำเนินกิจการต่างๆที่ต้องมีการดำเนินงานให้
เป็นระบบครบวงจรโดยมีขั้นตอนที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การประเมินผล เพื่อให้ได้ข้อมูลย้อนกลับ
อันจะสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่ผ่านมาว่าบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพียงใด
รวมทั้งมีจุดอ่อนหรือปัญหาในเรื่องใดบ้างที่ต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้การวางแผนและการดำเนินงานระยะต่อไปบรรลุเป้าหมายอย่างมีคุณภาพและ
ประสิทธิภาพ
ด้วย เหตุนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับการประเมินผล โดยเฉพาะการประเมินคุณภาพภายนอกจากหน่วยงานที่เป็นกลาง
เพราะจะทำให้เกิดกลไกในการตรวจสอบอย่างจริงจัง รวมทั้งกระตุ้นให้หน่วยงานที่จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับชาติ
ถึงหน่วยงานที่เล็กที่สุด คือสถานศึกษาและภายในห้องเรียนต้องมีการประเมินตนเองเพื่อพัฒนาการจัดการ
ศึกษาให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
การจัดการศึกษา ถือเป็นการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมี
คุณภาพ โดยรัฐได้หมายให้กระทรวง ทบวงกรมต้นสังกัด และสถานศึกษาเป็นผู้ทำหน้าที่ให้บริการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ
และสอดคล้องกับความต้องการของสังคมให้แก่ผู้รับบริการ คือผู้เรียน และผู้ปกครองซึ่งเป็นผู้รับบริการโดยตรง
รวมทั้งผู้รับบริการทางอ้อมคือสถานประกอบการ ประชาชน และสังคมโดยรวม จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่รัฐต้องตรวจสอบประเมินผลว่า
การให้บริการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐและสนองความต้องการ ของลูกค้าหรือผู้รับบริการกลุ่มต่าง
ๆ เพียงใด
การที่หน่วย งานที่รับผิดชอบการประเมินคุณภาพภายนอก จำเป็นต้องเป็นองค์การมหาชนซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐประเภทหนึ่ง
ที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจนั้น ก็เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ เพราะมีความเป็นอิสระและมีอำนาจตัดสินใจได้ทั้งในด้านการบริหาร
การจัดการ และการเงินของสำนักงาน ทำให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงาน ให้ลุล่วงตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการบริหาร
ตามสายการบังคับบัญชา ของระบบราชการ
นอกจากนี้ การที่ไม่ต้องขึ้นกับหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาทำให้มี
ความเป็นกลางและเป็นธรรม ปราศจากแรงกดดันที่จะทำให้ผลการประเมินภายนอกเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริง
อันจะก่อให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check & Balance) อย่างแท้จริง และจะทำให้การประเมินคุณภาพภายนอก
เป็นบริการสาธารณะที่เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความสามารถที่จะ ตรวจสอบได้ว่า
การจัดการศึกษาที่เป็นอยู่นั้นได้ "ให้" สิ่งที่ผู้เรียน สังคมและรัฐต้องการด้วยคุณภาพที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพเพียงใด
ความสำคัญของระบบประกันคุณภาพ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2550 มาตรา 81 กำหนดให้มี กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ จึงได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20
สิงหาคม 2542 เป็นต้นมา ในหมวด 6
ว่าด้วยมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา มาตรา 49 ได้กำหนดให้มีสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา เรียกโดยย่อว่า
"สมศ." มีฐานะเป็นองค์การมหาชน ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 117
ตอนที่ 99ก เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2543 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4
พฤศจิกายน 2543 โดยให้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเกณฑ์และวิธีการประเมินคุณภาพภายนอก
และทำการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมาย
หลักการ และแนวทางการจัดการศึกษาในแต่ละระดับตามที่กำหนดไว้ในกฏหมายว่าด้วยการศึกษา
แห่งชาติ โดยให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งใน
ทุกห้าปี นับตั้งแต่การประเมินครั้งสุดท้าย และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน
นอกจากนี้ ได้กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่าจะต้องจัดให้มีการประเมินคุณภาพภายนอก
ของสถานศึกษาทุกแห่ง ภายในหกปีนับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ใช้บังคับ
คณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและ
ประเมินคุณภาพการศึกษา เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2543 ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2543
จำนวน 11 ท่าน โดยให้มีกรรมการโดยตำแหน่ง
จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ปลัดกระทรวงการศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม ประธานกรรมการพัฒนาระบบการประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน และประธานกรรมการพัฒนาระบบการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษา
และให้มีผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ใช่ข้าราชการจำนวนไม่น้อยกว่า 4 ท่าน จากการสรรหาผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ
และประสบการณ์ทางด้านการบริหาร มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์
หรือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และให้ผู้อำนวยการเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง
โลกในยุคปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัตน์ที่มีความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
จึงจำเป็นที่แต่ละประเทศต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาและเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายจากกระแสโลก
โดยปัจจัยสำคัญที่จะเผชิญการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายดังกล่าว คือคุณภาพของคน
การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพจึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยจะต้องเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพ
เพื่อทำให้ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวคนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ทำให้เป็นคนที่รู้จักคิดวิเคราะห์
รู้จักแก้ปัญหา มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
รู้จักเรียนรู้ด้วยตนเองสามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
มีจริยธรรม คุณธรรม รู้จักพึ่งตนเองและสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข
ถึงแม้ว่าในระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีความพยายามในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยมาโดยตลอด แต่จากการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับมัธยมศึกษาของกรมวิชาการ
ปี 2540 พบว่าคะแนนเฉลี่ยของวิชาต่างๆ
ส่วนใหญ่มีค่าต่ำกว่าร้อยละ 50 เช่น
คะแนนเฉลี่ยในวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ของนักเรียนชั้น ม. 6 มีค่าไม่ถึงร้อยละ
30 แสดงว่านักเรียนทำข้อสอบได้ไม่ถึง 1 ใน 3 ของ ข้อสอบทั้งหมด
นอกจากผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการแล้ว จริยธรรม คุณธรรม
และความปลอดภัยของร่างกายและจิตใจของเด็กไทยก็อยู่ในสภาวะเสี่ยงเช่นเดียว
กันดังตัวอย่างของปัญหายาเสพย์ติดที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในสถานศึกษาขณะนี้
ด้านความสามารถในการคิดวิเคราะห์นั้น
จากการศึกษาของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
เกี่ยวกับการทำข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของสมาคมนานาชาติเพื่อการประเมินผลทางการศึกษา
พบว่าเด็กไทยทำคะแนนได้ดีสำหรับข้อสอบแบบเลือกตอบที่ใช้ทักษะพื้นฐาน
(เช่น การบวก ลบ
คูณ หาร) หรือข้อสอบที่ใช้ความจำแต่ไม่สามารถทำข้อสอบที่เป็นโจทย์ปัญหาที่ต้องคิดวิเคราะห์ หรือต้องเขียนคำตอบอธิบายยาวๆ แสดงให้เห็นถึงปัญหาในการคิดวิเคราะห์
และการเรียบเรียงความคิดออกมาเป็นคำพูดของเด็กไทย
ในขณะที่ความสามารถดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในโลกปัจจุบัน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
2543 : 1)
จากที่กล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของการศึกษาว่าจำเป็นจะต้องได้รับการพัฒนา
ปรับปรุงให้ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ จริยธรรม คุณธรรม
ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาของประเทศไทยโดยจะต้องจัดให้มีการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อให้เกิดกลไกในการตรวจสอบและกระตุ้นให้หน่วยงานทางการศึกษามีการควบคุมคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ซึ่งตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กำหนดให้หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาต้องจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเปิดเผยต่อสาธารณชน
เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.2542 : มาตรา 48) ให้มีการเสนอผลการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งที่จัดทำอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุก
5 ปี
ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 : มาตรา 49) ในกรณีที่ผลการประเมินภายนอกของสถานศึกษาใดไม่ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด
ให้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
จัดทำข้อเสนอแนะการปรับปรุงแก้ไขต่อหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อให้สถานศึกษาปรับปรุงแก้ไขภายในระยะเวลาที่กำหนด
การประกันคุณภาพการศึกษา
มีความสำคัญ 3 ประการ คือ
1. ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลคุณภาพการศึกษาที่เชื่อถือได้
เกิดความเชื่อมั่นและสามารถตัดสินใจเลือกใช้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน
2. ป้องกันการจัดการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ
ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและเกิดความเสมอภาคในโอกาสที่จะได้รับการบริการการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง
3. ทำให้ผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษามุ่งบริหารจัดการศึกษาสู่คุณภาพและมาตรฐานอย่างจริงจัง
ซึ่งมีผลให้การศึกษามีพลังที่จะพัฒนาประชากรให้มีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
การประกันคุณภาพการศึกษาจึงเป็นการ
บริหารจัดการและการดำเนินกิจกรรมตามภารกิจปกติของสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้รับบริการการศึกษา
ทั้งยังเป็นการป้องกันการจัดการศึกษาที่ด้อยคุณภาพและสร้างสรรค์การศึกษาให้เป็นกลไกที่มีพลังในการพัฒนาประชากรให้มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น
การสร้างระบบคุณภาพ มีสิ่งใดบ้างที่ต้องดำเนินการ
ประการที่ 1. คือ ต้องมีระบบการบริหารจัดการเชิงนโยบายที่ชัดเจน โดย สถานศึกษาต้องรับนโยบายจากต้นสังกัด และมอบนโยบายให้ทุกคนในองค์การ
หรือสถานศึกษาได้รับทราบและถือปฏิบัติ ตามนโยบายนั้นได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง เช่น การให้ความสำคัญกับผู้เรียน
และผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียนเป็นอันดับแรก
โดยผู้บริหาร ครู และผู้เกี่ยวข้องต้องรู้บทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบ และ ร่วมกันปลูกจิตสำนึกให้นักศึกษาเป็นผู้ที่มีสมรรถนะทางวิชาชีพ
มีระเบียบวินัย มีคุณธรรม จริยธรรม เมื่อสำเร็จการศึกษาไปสามารถเป็นคนดีของสังคม
และประกอบอาชีพได้
ประการที่ 2. คือ เน้นที่กระบวนการทำงาน ทำอย่างมีขั้นตอน ไม่ย้อนไปย้อนมา
เสียเวลาและทรัพยากร มีการวางแผนงานกระบวนการทำงาน
และมีการออกคำสั่งมอบหมายงานเพื่อให้งานนั้นสำเร็จอย่างมีคุณภาพและบรรลุวัตถุประสงค์
ร่วมกัน
ประการที่ 3 มีการทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อการพัฒนาสถานศึกษา การทำงานต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากบุคคลหลายฝ่ายทั้งในถานศึกษา
และภายนอกสถานศึกษา งานบางงานไม่สามารถทำได้สำเร็จลำพังผู้เดียว
จึงต้องอาศัยบุคคลหลายฝ่ายและมีทีมงานที่ดีจึงจะสามารถทำให้งานนั้นสำเร็จทันตามกำหนดและมีคุณภาพ
การรู้จักทำงานเป็นทีมจึงเป็นหลักการจัดการคุณภาพที่ก่อให้เกิดความรักสามัคคี
และสมานฉันท์ ทำให้สถานศึกษาพัฒนาได้ง่าย
ขั้นตอนสำคัญๆในการดำเนินการเป็นองค์การจัดการคุณภาพทั้งระบบมี 4 ขั้นตอน ได้แก่
1. ขั้นเริ่มต้น
มีการเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับระบบงานทั้งหมดของสถานศึกษา
ได้แก่การวางแผน การจัดองค์การ การจัดการบุคลากร การอำนวยการ และการควบคุม ไว้ให้พร้อม
2. ขั้นควบคุมคุณภาพ เป็นขั้นตอนสำคัญที่มีจุดเด่นเรื่องของการประเมินผล เพื่อให้ได้ข้อ
มูลมาตัดสินใจในการเปลี่ยนแปลงพัฒนา สถานศึกษา
โดยเน้นการทีมงานและบทบาทเรื่องของการประเมินเป็นพิเศษ
โดยเน้นการประเมินปัจจุบันเพื่อการแก้ไขข้อบกพร่องในอดีตมากกว่าการป้องกัน
3. ขั้นประกันคุณภาพ (quality
assurance) เป็นขั้นพร้อมรับการตรวจประเมินทั้งภายในและภายนอก
ซึ่งสถานศึกษาจะต้องจัดให้มีบุคคลหรือทีมงานอีกชุดหนึ่ง
ซึ่งนอกเหนือจากทีมประเมินผล
ทีมนี้จะทำหน้าที่ประสานงานให้เกิดการส่งผลย้อนกลับเพื่อการเปลี่ยนแปลงพัฒนาโดยตรง และทำหน้าที่ประสานงานเพื่อสร้างระบบงานให้เข้มแข็งขึ้นตามลำดับ
4. ขั้นจัดการคุณภาพทั้งระบบ เป็นขั้นที่ระบบงานพัฒนาเป็น (quality management หรือ total quality management) องค์การ
มีคุณลักษณะตามที่กล่าวมาแล้วในช่วงนี้ทุกหน่วยงานย่อยจะมีคู่มือปฏิบัติงาน
ที่ช่วยให้มีการทำงานอย่างมีขั้นตอนตามวงจรของการปฏิบัติงาน ยืดหยุ่นได้สภาพการ สามารถสร้างผลงานคุณภาพได้ตามเวลาหรือเงื่อนไข ลดความผิดพลาด ลดต้นทุน และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เป็นขั้นที่ระบบงานพัฒนามาเป็นการป้องกันความบกพร่องอนาคตมากกว่าการแก้ไข
ในการสร้างระบบคุณภาพ มีสิ่งสำคัญอะไรบ้างที่ต้องดำเนินการ ดังตัวอย่างคือ
1. ระบบงาน การสร้างระบบงาน
เพื่อทำให้ทุกคนทำหน้าที่ได้ถูกต้อง และสอดประสานกับบุคคลอื่นเป็นทีมงาน
จำเป็นต้องมีเอกสารหลายอย่าง ดังนี้
1.1 เอกสารที่เรียกว่า คู่มือคุณภาพ หรือ quality
manual ที่บ่งบอกถึงความตั้งใจที่จะสร้างระบบงานคุณภาพที่มีการปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่อง เน้นขั้นตอนการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานเป็นวงจรDeming cycle ประกอบด้วย plan/do/check/act
และควรมีตัวอย่างที่ชัดเจน หรือมีการฝึกอบรม
เพื่อที่แต่ละหน่วยงานย่อยจะได้ไปจัดทำคู่มือคุณภาพเฉพาะของหน่วยงานได้
โดยเฉพาะครูอาจารย์
ควรสามารถเน้นการจัดการเรียนรู้อย่างเน้นขั้นตอนที่นำไปสู่การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
คู่ มือนี้ จะต้องระบุมาตรฐานตัวชี้วัดที่หน่วยเหนือ(ตามตอนการเรียนรู้ที่
๑)ไว้ ด้วย เพื่อที่แต่ละหน่วยงาน จะได้มีเกณฑ์ในการพิจารณาการปฏิบัติของตน
1.2 เอกสารอีกส่วนหนึ่ง เรียกว่า คู่มือการประเมินและควบคุม (อาจอยู่เล่มเดียวกับเล่มแรก)ที่ระบุเกี่ยวกับ
งาน/โครงการที่ต้องประเมิน
วิธีการประเมิน เครื่องมือประเมินข้อมูล/ตัวชี้วัด
แหล่งข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลและการนำเสนอ ผู้ระเมิน
ตารางเวลาการประเมิน
1.3. เอกสารอื่นๆที่อาจรวมอยู่ในเล่ม หรือ แยกเล่ม
จะได้กล่าวถึงต่อไป
ทั้งหมดนี้ต้องมีการจัดทำเป็นเอกสาร และอาจต้องมีการฝึกอบรมเป็นระยะๆ เพื่อให้บุคลากรครูอาจารย์มีความเข้าใจ
และให้ความร่วมมือ
2.
ความรับผิดชอบเชิงการจัดการ
ผู้นำ หรือ ผู้อำนวยการ มีความสำคัญสูงสุดต่อระบบคุณภาพ
ควรมีลักษณะผู้นำที่เป็นผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลง(transformational)และผู้นำเพื่อการแลกเปลี่ยน(transactional)อยู่ในคนเดียวกัน
และมีบทบาทสำคัญ ดังต่อไปนี้
2.1 ตั้งบุคคลหรือหน่วยงานทำหน้าที่ประสานจัดการระบบงานคุณภาพขององค์การหรือ
สถานศึกษา
เพราะมีภารกิจที่ต้องดำเนินการเป็นจำนวนมาก
ผู้บริหารต้องมีบุคคลหรือองค์การมารองรับ
2.2
ดำเนินการกิจกรรมต่อไปนี้ผ่านบุคคลหรือองค์การตามข้อ๑
- การสร้างนโยบายคุณภาพ
- สื่อสารนโยบายนี้ให้ผู้ร่วมงานทุกคนทราบ และตระหนัก
- สร้างจุดเน้นที่สำคัญ และวัดได้ชัดเจน
- สร้างความผูกพันยึดมั่นร่วมกันในเรื่องของคุณภาพ
- มีการตัดสินใจเพื่อการปรับปรุงที่ทันท่วงที
- ให้มีการรายงานเกี่ยวกับระบบงานเป็นระยะๆ และในเวลาที่แน่นอน
- ย้ำเตือนเรื่องจุดเน้นที่ตัวนักเรียน
-
ย้ำเตือนเรื่องการใช้กระบวนการที่ถูกต้องเหมาะสมในการสอนและสัมพันธ์กับผู้เรียน
3.
ผู้บริหารต้องรับผิดชอบในกรอบภารกิจดังนี้
- การส่งเสริมสนับสนุนงานคุณภาพ เริ่มจากการให้ความสำคัญ
และพยายามทุกทางให้เพื่อนร่วมงานตระหนักและร่วมมือ
- การสร้างความพอใจให้นักศึกษาและผู้ปกครอง
ทั้งนี้ต้องทราบว่านักเรียนและผู้ปกครองต้องการอะไร และพยายามสนองความต้องการนั้น
รวมทั้งพยายามติดตามความรู้สึกของนักเรียนและผู้ปกครองที่มีต่อสถานศึกษาเสมอ
- การสร้างนโยบายคุณภาพ
ได้แก่การให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายคุณภาพ และจัดให้มีการบริหารจัดการให้นโยบายนั้นๆบรรลุผล
- การ วางแผนงานคุณภาพ กล่าวคือ
เมื่อสร้างนโยบายคุณภาพแล้ว ในการจัดการให้เกิดผลจะต้องมีการวางแผนงานคุณภาพตามมา
ซึ่งหมายถึงต้องมีการกำหนดจุดประสงค์และเป้าหมายคุณภาพให้ชัดเจน
จากนั้นจึงวางภารกิจ โครงการ หรือกิจกรรม พร้อม การงบประมาณ ตามมา
- การควบคุมระบบคุณภาพ
ที่สำคัญคือการสื่อสารภารกิจฯที่กล่าวมานั้น สู่ผู้รับผิดชอบ ดูแลให้ได้ดำเนินงานอย่างตั้งใจภายใต้บรรยากาศที่ดี และที่สำคัญ ประสานให้มีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
- การ จัดให้มีการรายงานทบทวนระบบงานเป็นระยะๆ
โดยให้มีสาระเป็นรายแผนงาน โครงการ โดยพิจารณาเกี่ยวกับ ทรัพยากร กระบวนการทำงาน
ผลผลิต ผลลัพธ์ เพื่อส่งผลย้อนกลับเพื่อการปรับปรุงงาน
เพื่อลดความสูญเสีย เพิ่มความเร็ว เพิ่มคุณภาพ และปริมาณ
4. การจัดการทรัพยากร
ใน การจัดการคุณภาพ เรื่องของการจัดการทรัพยากร ถือเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะเป็นเรื่องของต้นทุนที่ส่งผลต่อความสำเร็จตามมา
ถ้ามีการจัดการที่ดีจะนำไปสู่ความสำเร็จที่คุ้มค่า แต่ในทางตรงกันข้าม
หากมีการบริหารจัดการไม่ดี ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรได้อย่างเต็มที่เท่านั้น
แต่จะต้องมีการสูญเสีย ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และสูญเสียโอกาสในการแข่งขัน ถ้า
เป็นธุรกิจการค้า ก็จะเสียลูกค้า
ซึ่งถ้ามีมากขึ้นก็จะนำไปสู่ความหายนะขององค์การทางการค้านั้น
หรือถ้าเป็นสถานศึกษา ความนิยมก็จะลดลง หรือต้องเลิกกิจการไป
ทรัพยากรที่สำคัญประกอบด้วย
- ทรัพยากรบุคคล และการจัดการความรู้
- โครงสร้างพื้นฐานเพื่อการทำงาน
- บรรยากาศ
และสิ่งแวดล้อม
- การเงิน
- ระบบสารสนเทศ
และเทคโนโลยีการสื่อสาร
ผลผลิตทางการศึกษาคืออะไร
ผลผลิตทางการศึกษา คือ
การจบการศึกษาของนักเรียน ซึ่งหมายถึง
1.
ปริมาณผู้จบการศึกษา ในทางการศึกษามีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่
นักเรียนทุกคนที่เข้าเรียนสามารถ จบการศึกษาก่อน หรือในเวลาของหลักสูตร
ในทางปฏิบัติจริงเป็นไปได้ยาก เพราะนักเรียนแต่ละคนย่อมมีปัญหาของตนแตกต่างกันจนทำให้ต้องจากสถานศึกษา
ก่อนจบการศึกษาจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม
ในด้านการออกด้วยเหตุผลเรื่องการศึกษาเล่าเรียนเป็นเรื่องที่ท้าทายนัก วิชาชีพครู
และโดยจรรยาวิชาชีพ และความรับผิดชอบในการจัดการคุณภาพต้องมีความพยายามอย่างเต็มในการที่จะ
จัดการให้นักเรียนได้เรียนเต็มตามศักยภาพของตน
และต้องพยายามทำหน้าที่ให้ได้เป้าหมายใกล้เคียงกับเป้าหมายสูงสุดมากที่สุด
2. ด้านคุณภาพผู้จบการศึกษา พิจารณา
จากผลการเรียนตามระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการวัดผลการศึกษาของสถานศึกษา
อย่างไรก็ตาม การจบการศึกษาเน้นการวัดผลเป็นค่าระดับคะแนน
และได้พยายามกำหนดวัตถุประสงค์การสอนให้เป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมก็ตาม
แต่ความสามารถจริงในการทำหน้าที่ หรือประกิจตามวัย เมื่อจบการศึกษาแล้ว ยังเป็นที่กังขาในสาธารณชนทั่วไป
โดยเฉพาะผลทางด้านจิตใจและคุณธรรม
จนเป็นเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ต้องมีการปฏิรูปการศึกษาในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ดัง นั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องของทุกฝ่าย
เกี่ยวกับผลผลิตทางการศึกษา โดยเฉพาะด้านคุณภาพ เมื่อจะต้องมีการประกันคุณภาพ หรือ
การจัดให้มีการจัดการคุณภาพทั้งระบบ จำเป็นต้องมีการ
1.กำหนดรายละเอียดระดับพฤติกรรมของความสามารถทางสมอง
2.กำหนดรายละเอียดความสามารถ
หรือสมรรถภาพในการทำงาน ว่าทำอะไรได้บ้าง
3.กำหนดรายละเอียดระดับจิตใจด้านต่างๆ
เมื่อ มีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว
จำเป็นต้องมีกระบวนวิธีที่ถูกต้องในการจัดการเรียนรู้ และที่สำคัญจะต้องมีการกำหนด
และสร้างเครื่องมือในการประเมิน
ที่พร้อมที่จะให้ครูอาจารย์ได้นำไปใช้อย่างมีมาตรฐาน และสะดวกในการนำไปใช้
การติดตามประเมินผลคืออะไร มีความสำคัญอย่างไรต่องานจัดการคุณภาพ
การ ติดตามประเมินผล
เป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งของระบบงาน
เพราะเป็นการดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ
โดยเฉพาะข้อมูลที่บ่งบอกถึงผลผลิตทั้งเชิงคุณภาพ และปริมาณ
พร้อมปัญหาที่เกิดขึ้นและสาเหตุ เพื่อที่จะส่งผลย้อนกลับไปแก้ปัญหาที่สาเหตุ
โดยเฉพาะสาเหตุจากกระบวนการและทรัพยากร
การติดตามประเมินผลที่ควรต้องทำเป็นประจำ
มีดังต่อไปนี้
- การประเมินผลการศึกษา
- การประเมินการสอน หรือ การจัดการเรียนรู้
- การประเมินการปฏิบัติงาน
- การตรวจสอบภายใน
- การตรวจสอบภายในด้วยเครือข่าย หรือพันธมิตร
- การตรวจประเมินจากภายนอก
ภายหลังจากการประเมิน ต้องมี
- วิเคราะห์ข้อมูล และทำรายงาน
- การปรับปรุงแก้ไขระหว่างปฏิบัติ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และถูกใจ
นักศึกษา ผู้ปกครอง
และผู้นำทางการศึกษา
- การวางแผน และดำเนินมาตรการป้องกันความผิดพลาด บกพร่องในรอบ หรือ
วงจรการปฏิบัติงานต่อๆมา
เพื่อไม่เกิดความบกพร่อง ความสูญเสีย หรือมีให้น้อยที่สุด
8.นอกเหนือจากขั้นตอนการพัฒนาเข้าสู่การเป็นองค์การจัดการคุณภาพทั้งระบบที่กล่าวมาแล้ว ท่านคิดว่า ขั้นตอนปฏิบัติที่ค่อนข้างละเอียดในการเป็นองค์การจัดการคุณภาพทั้งระบบควรมีอะไรบ้าง
? จงอธิบาย
ขั้นตอนการพัฒนาเข้าสู่การเป็นองค์การจัดการคุณภาพทั้งระบบในการเป็นองค์การจัดการคุณภาพทั้งระบบควรมี
คือ
1. มีการตั้งบุคคล หรือ
องค์การ(ตามที่เสนอไว้แล้ว)เพื่อทำหน้าที่จัดการให้กลไกลคุณภาพ ตามที่กล่าว
ได้ดำเนินไปได้
2. มีการตั้งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมาช่วยให้คำปรึกษา หรือ อาจตั้งบริษัทที่ปรึกษา
เพราะในการพัฒนาระบบเป็นงานที่มีความยุ่งยากกว่าการพัฒนาองค์การ(organization
development)ซึ่งต้องการที่ปรึกษามากอยู่แล้ว
กรณีของการสร้างระบบการจัดการคุณภาพทั้งระบบจึงยิ่งมีความจำเป็นมากขึ้น
3.
มีการวางแผนงานเบื้องต้นให้มีการทำงานเป็นวงจร plan,do,check,act ในทุกคนทุกหน่วยงาน และบางหน่วยงานอาจมีกิจกรรมนำร่อง 5 ส. ด้วย
4. มีการติดตามประเมินผลที่ทำด้วยความตั้งใจ
และหวังนำผลมาปรับปรุง
5. มีการสร้างระบบงานใหม่ที่ต้องการความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาอย่างมาก
เพราะหากอาศัยแนวของISO หรือ international standard
organization จะมีเอกสารที่ต้องทำเป็นเป็นจำนวนมาก
เพื่อปรับวิธีการทำงานเสียใหม่ เช่น คู่มือคุณภาพ คู่มือกระบวนการปฏิบัติงาน
รายละเอียดงาน แบบฟอร์มต่างๆ เอกสารสนับสนุนต่างๆ
6.
มีการฝึกอบรมให้ครูอาจารย์และบุคลากรให้สามารถทำหน้าที่ได้ตามรายละเอียดที่ได้จัดทำขึ้น
7. มีการลงมือปฏิบัติตามคู่มือที่ได้รับการอบรมมาแล้ว
8. มีการประเมินผลภายในตามที่มีการระบุไว้ในคู่มือ
ซึ่งอาจจะสามารถใช้เครือข่ายพันธมิตรมาช่วยประเมินด้วย ก็สามารถทำได้
9.มีการปรับปรุงงานตามผลที่ได้ประเมินและส่งผลย้อนกลับ
10.มีการประสานกับหน่วยงานมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ สมศ.
เพื่อให้มีการตรวจประเมินจากภายนอก
11.ผลของการประเมินอาจยังไม่ได้มาตรฐานเพื่อให้การรับรองคุณภาพ หรือ
accreditation
องค์การดังกล่าวจะให้เวลาเพื่อการปรับปรุงเพื่อการรับรองผลอีกครั้ง หรือ หลายครั้ง จนกว่าจะถึงมาตรฐานที่ให้การรับรอง และหลังจากนั้น องค์การมาตรฐานจะมีติดตามเป็นระยะๆเพื่อกระตุ้น หรือ
ให้แรงเสริม(reinforcement)เพื่อให้ระบบสามารถผลิตงานคุณภาพ
ได้ปริมาณตามกำหนด
และเป็นที่พอใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อยู่เสมอ
แนวทางการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาเพื่อมุ่งสู่การประกันคุณภาพการศึกษา
ในการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
เพื่อเตรียมการรับการประเมินคุณภาพการศึกษาจากองค์กรภายนอก(สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
หรือ สมศ.)
สถานศึกษาแต่ละแห่งจึงมีแนวทางในการดำเนินงานในการประกันคุณภาพด้วยกระบวนการพัฒนาที่เหมาะสมกับสถานศึกษา
เช่น ยึดหลักการดำเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพตามวงจรของ เดมมิ่ง อันได้แก่ การวางแผน
(Plan)การปฏิบัติตามแผน(Do)การตรวจสอบหรือประเมินผลการปฏิบัติงาน(Check) และการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนา(Action)
กรอบแนวคิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ประจวบ พิมพะนิตย์ได้กล่าวถึงกรอบแนวคิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษา คือ
1.การพัฒนาหลักสูตร
2.การพัฒนากระบวนการเรียนการสอน
3.การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
4.การพัฒนาระบบบริหารจัดการ
การประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาการบริหารคุณภาพ
ประกอบด้วย
1.ยุทธศาสตร์
มีการปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง(TQM)มีกระบวนการเรียนรู้(พัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้)
2.คน คือมีการจัดคน
จูงใจและสร้างพลังสู่ความสำเร็จ
3.เทคโนโลยี
ใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการดำเนินการ
4.กระบวนการจัดการ
โดยควบคุมคุณภาพ (PDCA) ทำงานเป็นมาตรฐาน ทุกคนมีส่วนร่วม
ทำงานเป็นทีม (ตัดสินใจด้วยตนเอง) และพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ หัวใจระบบประกันคุณภาพอยู่ที่ระบบพัฒนาคุณภาพ
ซึ่งเราไม่ได้ส่งเสริม ไม่ได้ให้กำลังใจอย่างจริงจังกับเรื่องเหล่านี้
ผู้บริหารมีส่วนสำคัญในการนำแนวคิดการประกันคุณภาพการศึกษา
เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงให้รอบด้าน โดย “ปรับยุทธศาสตร์ ฉลาดสร้างคน ค้นเทคโนโลยี มีกระบวนการ”
5. แนวคิดการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพสถานศึกษา
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา บรรยายพิเศษ
ให้ข้อคิดในการดำเนินงานว่า
ผู้บริหารทุกระดับต้องให้ความสำคัญกับการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
โดยให้ข้อคิดในการทำงานให้สำเร็จ 3ประการ ได้แก่ 1)ปลุกให้ตื่น
: หมายถึงให้คนอื่นรับทราบ และมีส่วนร่วม มีฐานข้อมูล รู้บทบาทหน้าที่ 2)ยืนให้มั่น : หมายถึง มีวิธีการทำงาน ควรเริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูล
กลับกลุ่มคุณภาพและดำเนินการพัฒนาในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย 3)ลงลึกให้เป็นวัฒนธรรม:
หมายถึงหลังจากทำงานเสร็จแล้ว ควรมีการชื่นชม มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ศึกษาดูงาน
และให้ขวัญกำลังใจ
ศาสตราจารย์ ดร.สมหวัง พิทยานุวัฒน์บรรยายพิเศษ “ผลการประเมินภายนอกรอบสอง
และทิศทางการประเมินภายนอกรอบสาม” โดยกล่าวว่า 1)มาตรฐานสถานศึกษาให้ใช้เกณฑ์ของสมศ.และสถานศึกษาที่ไม่ผ่านการรับรอง
รัฐบาลต้องช่วยพัฒนา 2)โรงเรียนที่ไม่ผ่านการประเมิน
ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก 3)นโยบายเรียนฟรี 15 อย่างมีคุณภาพ เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาโรงเรียน 4)การประเมินเพื่อพัฒนา
กระทรวงศึกษาธิการต้องเร่งนำร่องก่อน 5)สถานศึกษาที่มีคุณภาพ
คือ สถานศึกษาที่ทำประกันคุณภาพภายในอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ผู้เรียนทุกคนได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
ศาสตราจารย์ ดร.อุทุมพร จามรมาน
ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.)บรรยายพิเศษ “การส่งเสริมประสิทธิภาพระบบการประกันคุณภาพการศึกษา”กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของการพัฒนาระบบประกันคุณภาพการศึกษาเป้าหมายที่ 1:
เร่งรัดพัฒนาคุณภาพการศึกษาทุกระดับ
โดยสะท้อนผลสำเร็จไปที่หน้าที่สำคัญของงานประกันคุณภาพระดับเขตพื้นที่การศึกษา(1)สพท. ต้องรู้ว่าสถานศึกษามีผลการประเมินเป็นอย่างไร
ดีขึ้นหรือลดลงกี่โรงเรียน (2) จะเร่งรัดส่งเสริมสถานศึกษาอย่างไร(3)
มีหน่วยงานอื่นเข้ามาช่วยเหลือหรือไม่ อย่างไร เป้าหมายที่ 2
: พัฒนาโรงเรียนที่ไม่ได้รับรองมาตรฐานภายนอก รอบสองให้ได้
โดยให้แต่ละเขตพื้นที่กำหนดจำนวน เปอร์เซ็นต์ของโรงเรียนในการพัฒนาเอง
แนวดำเนินการ (1) จัดทำฐานข้อมูลโรงเรียน(2) จัดระบบการเข้าถึงข้อมูลโรงเรียน (3)จัดโรงเรียนพี่เลี้ยง(4)สร้างความตระหนักให้ผู้บริหาร :
ให้กระตือรือร้นและมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา(5)เสริมสร้างประสิทธิภาพครู : ให้ รู้จักเด็ก
มีการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน และสามารถจัดทำหน่วยการเรียนรู้ตามหลักสูตรของตนเองได้(6)จัดการเรียนรู้ให้นักเรียน : แจ่มใส อ่านได้ คิดเลขได้ ฯลฯ (7) ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม : ยอมรับ ศรัทธา (8) มีระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
: มีการประเมินตนเอง ต่อเนื่อง และมีความสอดคล้องกับทุกระดับ
แนวทางการสร้างสถานศึกษาแห่งคุณภาพ
แนวทางการสร้างสถานศึกษาแห่งคุณภาพ
ประกอบด้วย
1.การวิเคราะห์บริบท (Context
Analysis)โดยใช้หลักการ SWOT ทำให้เกิดความเข้าใจ
เห็นความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงองค์กรหรือสถานศึกษา
สามารถจัดวางยุทธศาสตร์ของสถานศึกษาได้อย่างถูกต้องสอดคล้องกับเป้าหมายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.การบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล(Good
Governance)ทำให้ผู้บริหารเกิดความเข้าใจหลักการสำคัญของธรรมาภิบาลและนำไปสู่การปฏิบัติในสถานศึกษา
ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม
หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า
ทำให้การบริหารงานเกิดความสมดุลระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายปฏิบัติ
และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทุกฝ่ายได้รับความสุขและความสำเร็จในการทำงาน
เกิดความมั่นใจในการบริหารคุณภาพการจัดการศึกษา
3.การนำองค์การและเทคโนโลยีการบริหารการศึกษา
(Leading Organization and Education Management Technology) ทำให้ผู้บริหารทราบถึงวิธีการที่ผู้บริหารจะชี้นำองค์กรโดยอาศัยการสื่อสาร
การสร้างบรรยากาศ ความรับผิดชอบต่อสังคม
และเข้าถึงเทคโนโลยีทางการบริหารการศึกษาและทักษะที่จำเป็นต่อการบริหารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4.การวางแผนและกำหนดยุทธศาสตร์(Strategy
Planning and Formulation) ทำให้เห็นแผนภาพที่แสดงถึงแนวทางการวางแผนและการกำหนยุทธศาสตร์ในการบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จและมุ่งผลสัมฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ
5.การนำแผนยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ(Strategy
Implementation)เป็นแนวทางในการนำแผนยุทธศาสตร์ลงสู่การปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย
ทำให้ผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามแผนมีความยั่งยืน
6.การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) เนื่องจากบริบทของสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมีส่วนที่มีผลกระทบต่อการบริหารการศึกษา สถานศึกษาจึงจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อปัจจัยจากสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น โดยสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับสถานศึกษาอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
6.การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) เนื่องจากบริบทของสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมีส่วนที่มีผลกระทบต่อการบริหารการศึกษา สถานศึกษาจึงจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อปัจจัยจากสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น โดยสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับสถานศึกษาอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
7.การสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วม
(Network Building and Participatory) เนื่องจากกระบวนการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนและส่งเสริมให้สถานศึกษามีพลังในการพัฒนา
จึงต้องสร้างระบบการดำเนินงานทางการศึกษาร่วมกับภาคีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อสร้างเครือข่ายการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบร่วมกัน
8.การควบคุม การวัดประเมิน
และการจัดการความรู้ (Control , Measurement, Evaluation and Knowledge
Management) เป็นการเชื่อมโยงการขับเคลื่อนการบริหารสถานศึกษา
จากแผนยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติครบวงจร
ทำให้สถานศึกษามีความพร้อมในการรับข้อมูลที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้
และใช้ประโยชน์จากสารสนเทศ การจัดการความรู้เป็นการสร้างสินทรัพย์ทางความรู้ให้อยู่กับสถานศึกษา
โดยพัฒนาอย่างเป็นระบบให้องค์ความรู้ถูกถ่ายทอดและเก็บรักษาไว้ที่สถานศึกษา
9.การปฏิบัติที่เป็นเลิศ(Best
Practice)เป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นเลิศในการบริหารงาน
โดยนำหลักทางการบริหารมาประยุกต์ใช้อย่างบูรณาการ
การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพสถานศึกษา
มีความสำคัญยิ่ง คุณภาพการจัดการศึกษาเป็นสิ่งที่สังคมให้ความสนใจและห่วงใย
สถานศึกษาจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคมว่า
มีความสามารถในการจัดการศึกษาพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนมีคุณธรรม(ดี)มีความรู้(เก่ง)
และอยู่ในสังคมได้อย่างความสุข ครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นครูดี ครูเก่ง มีคุณธรรม
มีคุณภาพ และมีวิทยฐานที่สูงขึ้น ผู้บริหารเป็นมืออาชีพและเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง
มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นผู้นำทางวิชาการ มีจิตอาสา
ประชาชนได้รับความสุขจากการจัดการศึกษาตามที่คาดหวัง
สถานศึกษามีความเข้มแข็งและพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
ที่กำหนดว่า “คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ”
ภายใต้การขับเคลื่อนแนวทาง 4 ใหม่ คือ
คุณภาพคนไทยยุคใหม่ ครูยุคใหม่ สถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่
และการบริหารและการจัดการยุคใหม่
บทบาทภาวะผู้นำของบริหาร
ในการบริหารคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา
แนวทางการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนรวมทั้งบทบาทของผู้บริหารในการประกันคุณภาพการศึกษา
ดังนี้
1. การเตรียมการก่อนดำเนินการประกันคุณภาพภายใน ผู้บริหาร จะมีบทบาทในการเตรียมความพร้อมของบุคลากร โดยสร้างความตระหนัก และพัฒนาความรู้ทักษะต่าง
ๆ ให้กับบุคลากร รวมทั้ง การแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงาน เพื่อร่วมกับผู้บริหารในการประสานกระตุ้น
กำกับ ดูแล ให้บุคลากรภายในสถานศึกษา และบุคลากรภายนอกที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกันดำเนินการประกันคุณภาพภายใน
ในการสร้างความตระหนักผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องปลุกจิตสำนึกและสร้างความ ตระหนักให้บุคลากรทุกฝ่ายมองเห็นคุณค่า
และมีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันเกี่ยวกับการประกันคุณภาพภายใน ถ้าบุคลากรยังมีความเข้าใจแตกต่างกันออกไป
และไม่มีทัศนคติที่ดี การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาก็จะสำเร็จได้ยาก ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่ผู้บริหารจะต้องปรับความคิดของบุคลากรฝ่ายต่าง
ๆ ให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อน และในการพัฒนาความรู้และทักษะเกี่ยวกับการประกันคุณภาพภายใน
บุคลากรส่วนใหญ่ยังเข้าใจวิธีการประกันคุณภาพภายในค่อนข้างน้อย และไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไรในแต่ละขั้นตอน
รวมทั้งยังขาดทักษะในการประเมินตนเอง ผู้บริหารจึงควรฝึกอบรมให้บุคลากรมีความรู้ความเข้าใจให้สามารถดำเนินการ
ประกันคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผู้บริหารต้องดำเนินการร่วมกับบุคลากรหลักที่ได้รับมอบหมายในรูปของคณะ
กรรมการ หรือคณะทำงานในการดำเนินงานต่าง ๆ และต้องกำกับ ดูแล ช่วยเหลือ สนับสนุนให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกัน
และเชื่อมโยงกันเป็นทีมเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและ เกิดประสิทธิผล
2. ขั้นตอนที่สอง
การดำเนินการประกันคุณภาพภายใน ในขั้นตอนนี้ผู้บริหารมีบทบาทในการบริหาร
จัดการ ส่งเสริม สนับสนุน อำนวยความสะดวก ให้คำปรึกษา แนะนำ ดูแลให้มีการประกันคุณภาพภายใน
ที่ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม โดย
ในการวางแผนการปฏิบัติงาน
(P)
ผู้บริหารจะต้องเป็นแกนนำในการจัดทำแผนรวมทั้งกำกับ ติดตามให้มีการดำเนินงานตามแผนการเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ
สถานศึกษาควรจัดให้มีการจัดทำแผนต่าง ๆ คือ แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา แผนปฏิบัติการประจำปี
แผนการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรและสอดคล้องกับเป้าหมายของสถานศึกษา แผนการประเมินคุณภาพการศึกษา
แผนงบประมาณทั้งรายรับและรายจ่ายของสถานศึกษาซึ่งแผนต่าง ๆ ต้องมีความเชื่อมโยงกันเมื่อมีการวางแผนปฏิบัติงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจะเป็น
การปฏิบัติตามแผน
(D)
เมื่อบุคลากรร่วมกันดำเนินการตามแผนที่จัดทำไว้ผู้บริหารควรจะส่งเสริมและ
สนับสนุนให้บุคลากรทุกคนทำงานอย่างมีความสุขจัดสิ่งอำนวยความสะดวก สนับสนุนทรัพยากรเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิ
ภาพกำกับ ติดตาม ทั้งระดับรายบุคคล รายกลุ่ม รายหมวด หรือฝ่าย เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้มีการดำเนินตามแผน
ผู้บริหารต้องนิเทศติดตามการดำเนินงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือแผนที่กำหนด ไว้หรือมีปัญหาหรือไม่
หากเป็นไปตามแผนหรือมีปัญหาจะได้ให้การนิเทศเพื่อปรับปรุงแก้ไข ในการนิเทศผู้บริหารควรให้การนิเทศเพื่อให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานได้อย่าง
มีประสิทธิภาพทั้งในเรื่องการจัด การเรียน การสอน การประเมินตนเอง และทักษะในด้านต่าง
ๆ โดยผู้บริหารอาจให้การนิเทศเอง หรือเชิญวิทยากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ
แต่ละด้านมาให้การนิเทศ หรือให้บุคลากรไปอบรมเพื่อให้เกิดทักษะในด้านต่าง ๆ หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอน
ตรวจสอบประเมินผล
(C)และการนำผลการประเมินมาปรับปรุงงาน (A)ผู้บริหารและครูต้องเข้าใจระบบการประกันคุณภาพอย่างถูกต้อง
และต้องตระหนักถึงความสำคัญของการประเมินผล นอกจากนี้ผู้บริหารต้องเป็นผู้นำและส่งเสริมการนำผลจากการประเมินตนเองมาใช้
ในการปรับปรุงสถานศึกษา และการรายงานผลให้สาธารณชนรับทราบขั้นตอนสุดท้าย การรายงาน
ผู้บริหารต้องเป็นแกนนำในการจัดทำรายงานประเมินตนเอง หรือรายงานประจำปี
รวบรวมผลการดำเนินงาน และผลการประเมิน วิเคราะห์ตามมาตรฐาน และเขียนรายงาน จะเห็นว่าในการบริหารและการจัดการศึกษาที่เน้นการประกันคุณภาพภายในนั้นผู้
บริหารต้องเป็นหัวใจ และเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ผู้บริหารเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการเป็นผู้นำ
เป็นผู้อำนวยการ และเป็นผู้อำนวยความสะดวก ที่จะต้องนำสถานศึกษาให้เป็นหน่วยงานระดับปฏิบัติที่มีวัฒนธรรม
การทำงานบนฐานคุณภาพ และยึดมาตรฐานการศึกษาเป็นเป้าหมาย เพื่อสร้างผลผลิตให้ผู้เรียนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ
มีคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ และมีสมรรถนะทางด้านร่างกาย จิตใจ คุณธรรม จริยธรรม ทักษะทางด้านการทำงาน
และทักษะทางสังคมตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ ซึ่งการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายและมีคุณภาพนั้น
ผู้บริหารสถานศึกษาต้องอาศัยการมอบอำนาจ การกระจายอำนาจ ความร่วมมือและสนับสนุนจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา
ดังนั้นผู้บริหารสถานศึกษาจึงเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการพัฒนาระบบ ประกันคุณภาพการศึกษาผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีภาวะผู้นำ
ต้องมีสมรรถนะสูงทั้งด้านความรู้ ความสามารถ ทักษะการบริหาร เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ทรงพลังจึงจะสามารถนำพาองค์การสู่คุณภาพและ
มาตรฐานได้ นอกจากนี้การที่ผู้บริหารได้ใช้ภาวะผู้นำและความรู้ ความสามารถในการบริหารงานอย่างเป็นระบบและมีความโปร่งใส
เพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพ จะเป็นที่ยอมรับและนิยมชมชอบของผู้ปกครองและชุมชน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องย่อมก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและเป็นประโยชน์ต่อ
สังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น